- ประเทศต้องเดินหน้าได้Posted 10 hours ago
- เด็กไทยต้องทำชีวิตก้าวหน้าPosted 1 day ago
- ยุคทะเลเดือดPosted 2 days ago
- รวยลัดเป็นเปลวนรกPosted 3 days ago
- คนทำบุญลดลงPosted 6 days ago
- ใช้สติปัญญาสู้ปัญหาPosted 1 week ago
- คนดีต้องไม่โกงPosted 1 week ago
- หมูเด้งแซงหน้ารัฐบาลPosted 1 week ago
- ผีซ้ำด้ำพลอยPosted 2 weeks ago
- ถ้าผลงานเข้าตาไม่มีใครไล่Posted 2 weeks ago
กลัวมั้ย! เบาหวานลงไต / โดย อ.นพ.ไพฑูรย์ ขจรวัชรา
คอลัมน์ : พบหมอศิริราช
ผู้เขียน : อ.นพ.ไพฑูรย์ ขจรวัชรา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 2-9 พฤศจิกายน 2561)
หากกล่าวถึงโรคเบาหวานแล้วหลายคนอาจส่ายหน้าและรู้สึกกลัว แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ โรคแทรกซ้อนต่างๆที่ตามมาที่ล้วนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ และที่อยู่ในอันดับต้นๆคือ “โรคไตจากเบาหวาน” ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด “โรคไตวาย” เป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โรคไตจากเบาหวานมาย่างกราย เราควรรู้เท่าทันเพื่อป้องกันครับ
เกิดขึ้นได้อย่างไรโรคไตจากเบาหวาน
เมื่อเป็นโรคเบาหวานและไม่สามารถควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้ ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นระยะเวลานานจะก่อให้เกิดอันตรายต่อเซลล์ที่บริเวณอวัยวะต่างๆ เช่น ตา ระบบประสาทส่วนปลาย ไต หัวใจ และหลอดเลือด
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไตจากเบาหวานนอกจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจนเกิดอันตรายต่อเซลล์ที่ไตแล้ว ยังทำให้เกิดความดันในหลอดเลือดฝอยในไต และอัตราการกรองของไตสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อไต
โรคไตจากเบาหวานแบ่งได้เป็น 5 ระยะ
ระยะที่ 1 และ 2 อาจไม่มีอาการ หรือมีเพียงอาการที่เกิดจากโรคเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย ถ้าตรวจอัตราการกรองของไตจะพบว่าสูงขึ้นกว่าคนปรกติร้อยละ 20-40 ขนาดของไตอาจใหญ่ขึ้น การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต (ครีอะตินีนในเลือด) จะพบว่าปรกติ ตรวจปัสสาวะอาจพบน้ำตาลในปัสสาวะ แต่ไม่พบอัลบูมินในปัสสาวะ หรือพบน้อยกว่า 30 มิลลิกรัมต่อวัน
ระยะที่ 3 พบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เป็นเบาหวานมานานมากกว่า 5 ปี ส่วนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อาจพบได้ตั้งแต่เริ่มตรวจเจอว่าเป็นเบาหวาน การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ เริ่มตรวจพบอัลบูมินในปัสสาวะอยู่ในช่วง 30-300 มิลลิกรัมต่อวัน ถ้าตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไตพบว่าปรกติ ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ระยะนี้เรียกว่า microalbuminuria ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดีอาจเปลี่ยนกลับไปเป็นระยะที่ 2 ได้ ในทางกลับกันถ้าการดูแลรักษาไม่ดี ร้อยละ 50-80 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และร้อยละ 20-40 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีการดำเนินของโรคไปสู่ระยะที่ 4
ระยะที่ 4 จะพบอัลบูมินในปัสสาวะมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน การตรวจเลือดอาจพบว่าครีอะตินีนสูงกว่าปรกติ ซึ่งแสดงว่าการทำงานของไตลดลง ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูง ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดีอัลบูมินในปัสสาวะอาจลดลงหรือหายไปได้ และสามารถชะลอการเสื่อมของไตได้ แต่ถ้าการดูแลรักษาไม่ดีการทำงานของไตจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนเกิดไตวายได้ร้อยละ 20-50 ในระยะเวลา 5-10 ปี ระยะนี้เรียกว่า macroalbuminuria
ระยะที่ 5 ระยะนี้การทำงานของไตลดลงจนเป็นไตวาย จะมีปัสสาวะน้อย บวมตามร่างกาย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
*** อัลบูมิน คือโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกาย ***
การป้องกันและดูแลโรคไตจากเบาหวาน
1.ควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยมีระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) น้อยกว่าร้อยละ 7 การควบคุมน้ำตาลสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไตจากเบาหวาน ลดปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะ นอกจากนี้ยังช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
2.ควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท โดยจำกัดเกลือที่รับประทานให้น้อยกว่า 2 กรัมต่อวัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม ในกรณีที่ใช้ยาลดความดันโลหิตควรใช้กลุ่ม ACEI หรือ ARB เป็นอันดับแรก ประโยชน์ของการควบคุมความดันโลหิตคือ ช่วยลดการเกิดโรคไตจากเบาหวาน ลดปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะ ช่วยชะลอการเสื่อมของไต ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
3.ควบคุมไขมันไม่ดีชนิดแอลดีแอล (LDL) ให้น้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ในผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง การควบคุมไขมันไม่ดีชนิดแอลดีแอลช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดอัลบูมินในปัสสาวะและอาจชะลอการเสื่อมของไต
4.จำกัดโปรตีนในอาหาร อาจช่วยชะลอการเสื่อมของไต โดยปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมคือ 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถขอคำปรึกษากับนักกำหนดอาหารหรือแพทย์ในสถานพยาบาลที่ท่านรักษาเพื่อขอคำแนะนำปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม
5.เลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะหากยังดื้อสูบต่อไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตจากเบาหวานและทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น แถมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
6.ระมัดระวังการรับประทานยาแก้ปวดลดการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAID) เพราะอาจทำให้เกิดไตวายหรือการทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไตจากเบาหวานที่มีการทำงานของไตลดลงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา
7.ถ้ามีอาการผิดปรกติของทางเดินปัสสาวะควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะแสบขัด ภาวะเหล่านี้อาจซ้ำเติมให้โรคไตจากเบาหวานแย่ลง
ความเสี่ยงต่อชีวิตที่ผู้ป่วยโรคไตจากเบาหวานไม่ควรทำ
-ละเลยที่จะไปพบแพทย์ตามนัด ปล่อยให้การรักษาขาดช่วง
-ไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น ไม่ควบคุมอาหาร รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ
-รับประทานยาหม้อ ยาสมุนไพร เพื่อรักษาโรคเบาหวานและหรือโรคไตโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเราสามารถป้องกันไม่ให้ป่วยได้ เพียงแค่ควบคุมดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะส่งผลให้กลายเป็นโรคโตจากเบาหวาน เพราะโรคไตจากเบาหวานเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน อีกทั้งอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูง โดยเฉพาะเมื่อเกิดไตวายต้องฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 20,000-30,000 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานสามารถลดโอกาสที่จะเกิดโรคไตจากเบาหวานได้ถ้าได้รับการรักษาและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องครับ
You must be logged in to post a comment Login